Friday, June 12, 2009

Journey to the Future

ตั้งแต่จำความได้ ข้าพเจ้าก็รักการวาดรูปมาก ว่างเมื่อใดก็จะหยิบดินสอ ดินสอสี และกระดาษ มานั่งๆนอนๆขีดเขียนไปเรื่อยๆโดยไม่เหน็ดเหนื่อย จนที่บ้านส่งข้าพเจ้าไปโรงเรียนศิลปะ ซึ่งข้าพเจ้าวาดรูป คน ธรรมชาติ และความรูปเหมือน ได้ดีที่สุด แน่นอนว่าความคิดที่จะเป็นสถาปนิกไม่มีอยู่ในหัวข้าพเจ้าเลย แม้แต่คำว่าสถาปนิกข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้จัก ไม่ทราบว่าสถาปนิกมีหน้าที่อะไร ซึ่งอาชีพในฝันของข้าพเจ้าตอนนั้นก็ คือ แพทย์ พยาบาล ครู ทนาย ฯลฯ อาชีพยอดฮิตในสมัยก่อนนั่นแหละ และแน่นอนไม่มีสถาปนิก (น่าแปลกที่ไม่มีศิลปินด้วย) พอข้าพเจ้าเริ่มขึ้นมัธยม ประสบการณ์ก็เพิ่มขึ้นตามวัย ข้าพเจ้าก็รู้จักอาชีพสถาปนิก แต่ทราบเพียงว่า สถาปนิกคือผู้ที่ออกแบบอาคารเท่านั้น แต่ตอนนั้นข้าพเจ้าก็ยังอยากเป็นแพทย์ เป็นทนายอยู่ แต่จุดเริ่มต้นของการใฝ่ฝันอยากเป็นสถาปนิก(ซึ่งตอนนั้นเรียกว่าใฝ่ฝันที่จะเรียนจะเหมาะกว่า) เริ่มที่ ข้าพเจ้าได้เข้าไปกวดวิชาที่สถาบันกวดวิชา วิชาคณิตศาสตร์เล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งเวลาว่างๆ รอพี่ติว ข้าพเจ้าก็ชอบวาดนู้น วาดนี้บน White Board เนื่องด้วยความเป็นคนอยู่เฉยๆไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะรูปที่แสดงหลักทางฟิสิกส์ เนื่องจากตอนนั้นชอบวิชาฟิสิกส์มาก ก็จะเป็นรูปจำพวก กล่อง ตึก เส้นแรง ฯลฯ จนพี่ติวที่เป็นบัณฑิตจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาคสถาปัตยกรรมภายใน สจล.(พ่วงด้วยเกียรตินิยม) แนะนำให้เรียนสถาปัตย์ ซึ่งข้าพเจ้าก็เชื่อ! ถึงขั้นไปเรียนติวความถนัดสถาปัตย์ ซึ่งมันก็แตกต่างจากการวาดรูปธรรมดาไปเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็รู็สึกสนุกไปกับการติว และรู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีพอสมควร นั่นจึงเป็นเหตุทำให้ข้าพเจ้าเลือกที่จะเรียน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

ตอนนี้ข้าพเจ้าได้เป็นนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์สมใจแล้ว ข้าพเจ้าเลือกเรียนภาควิชาสถาปัตยกรรม ซึ่งใจจริงแล้วอยากเรียน ออกแบบภายในมากกว่า แต่ตอนนั้นข้าพเจ้าคิดว่าเรียน สถ. ก็ออกแบบภายในได้(วะ) จึงเลือกสิ่งที่คิดว่า คุ้ม ไว้ก่อน ถึงแม้ตอนเห็นรายวิชาในปีแรกจะไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องเรียนคอนสตรัคเจอร์ "อ่าว นี่สถาปนิกต้องรู้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ" ซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อน "จริงๆ" แต่ถึงอย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็พอใจกับการเรียนในปีแรกมาก และเรียนได้ค่อนข้างดี คิดว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว จากความใฝ่ฝันอยากเรียนสถาปัตยฯ ก็กลายเป็นความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นสถาปนิก จนกระทั่งขึ้นปีที่สอง ความ"คุ้ม"ก็เข้ามาถามหาข้าพเจ้าทันที เพราะชีวิตมันช่างแตกต่างกับตอนปีหนึ่งเหลือเกิน ปริมาณงานก็มากขึ้น ความรับผิดชอบก็มากขึ้น (แถมยังรับงานพิเศษโดยเขียนแบบอีกนะ)ซึ่งปีนี้ข้าพเจ้าการเรียนตก ตกแบบที่ว่า "ชีวิตนี้จะแย่กว่านี้อีกได้ไหม?" แต่ข้าพเจ้าก็ยังมุ่งมั่นเรียนต่อไป จนการเรียนดีขึ้นเรื่อยๆ และคิดว่าเริ่มปรับตัวได้ตอนปีที่สาม ซึ่งนั่นไม่เป็นความจริง เพราะหลังจากข้าพเจ้าเริ่มขึ้นปีที่สี่ ความ"คุ้ม"ก็ตามมาหลอกหลอนข้าพเจ้าอีกแล้ว ข้าพเจ้าทำงานไม่ทัน ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่อาจารย์ทุกท่านที่ตรวจแบบข้าพเจ้าในปีนี้ บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "อะไรก็ดี แต่ทำงานไม่เสร็จ" ซึ่งแน่นอน ในปีนี้บางช่วงข้าพเจ้าก็ท้อมาก ถึงขั้นร้องไห้ และเริ่มคิดว่าตัวเองแย่มาก ตัวเองไม่เหมาะกับการเป็นสถาปนิก ถึงตอนนี้ข้าพเจ้ารู้จุดอ่อนของตัวเอง คือ เป็นคนชอบทำงาน กระจุกกระจิก ทำจุดเล็กๆ ไม่ค่อยมองภาพรวม ซึ่งข้าพเจ้าได้รับทราบแล้วว่า การทำงานของสถาปนิกนั้น ถ้าทำให้คนอื่นเห็นภาพรวมไม่ได้ ก็จบ ซึ่งส่วนนี้ข้าพเจ้าก็พยายามปรับปรุงตัวเองอยู่จนถึงปัจจุบัน พอจบปีที่สี่ ผลการเรียนเทอมสุดท้ายของปีนี้สูงที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าเคยได้จากการเรียนสถาปัตยกรรม ซึ่งข้าพเจ้าเองก็พยายามเต็มที่ และรู้สึกพอใจกับมันพอสมควร ความใฝ่ฝันที่จะเป็นสถาปนิกของข้าพเจ้ากลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งมาถึงตรงนี้ข้าพเจ้าได้ทราบว่า สถาปนิกต้องออกแบบอะไรบ้าง ต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง ซึ่งความรับผิดชอบของสถาปนิกมันใหญ่กว่าที่ข้าพเจ้าเคยคิดไว้มาก อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็ยังไม่ทราบว่า สถาปนิกทำอะไรได้บ้างนอกเหนือจากทำงานบริษัทออกแบบ ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้เลือกฝึกงานระหว่างปิดภาคเรียนฤดูร้อนที่บริษัทออกแบบ เหตุผลข้าพเจ้าเลือกบริษัทนี้ เพราะ....ใกล้รถไฟฟ้า ข้าพเจ้าไม่ทราบเลยว่าบริษัทนี้ทำงานออกแบบด้านใด มีชื่อเสียงมากเพียงใด คิดเพียงแต่ว่าขอให้ได้ที่ฝึกงาน และงานอะไรก็ยินดีทำหมด โชคดีที่ข้าพเจ้าพอใจกับการฝึกงานที่บริษัทนี้มาก ข้าพเจ้ารู้สึกชอบการทำงานเป็นระบบบริษัท และข้าพเจ้ารู้สึกสนุกกับการทำงาน ถึงแม้จะน่าเบื่อบ้างบางครั้ง เพราะทำแต่งาน และไม่ได้คุยกับใครมาก เพราะทุกคนที่นี่ก็จริงจังกับการทำงาน แต่ข้าพเจ้าคิดว่ามีงานทำก็ดีกว่าไม่มีงานทำ เพราะเวลาไม่มีงาน และว่าง มันน่าเบื่อกว่าการทำงานหลายเท่านัก และทัศนคติเกี่ยวกับการทำงานในบริษัทของข้าพเจ้าดีขึ้นจากเมื่อก่อนที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำงานในบริษัทเลย เพราะคิดว่าน่าเบื่อ ซึ่งถึงตอนนี้ข้าพเจ้าได้ทราบรายละเอียดของการทำงานของสถาปนิกมากขึ้นจากการฝึกงาน และข้าพเจ้าถือว่าการฝึกงานครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่ดีมากประสบการณ์การหนึ่งในชีวิต

ปัจจุบันข้าพเจ้าศึกษาอยู่ปีที่ห้า ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการเรียนสถาปัตยฯแล้ว อิจฉาคนอื่นที่เรียนสี่ปีจบบ้าง หงุดหงิดกับคนที่ไม่ทราบเกี่ยวกับการเรียนสถาปัตยฯ แล้วคิดว่าข้าพเจ้าสอบตกต้องเรียนห้าปีบ้าง แต่ข้าพเจ้าก็ดีใจที่มาถึงจุดนี้ และความใฝ่ฝันที่จะเป็นสถาปนิกของข้าพเจ้าก็มีเต็มขั้น และทราบข้อมูลมากขึ้นว่า ความรับผิดชอบของสถาปนิกต้องมีมากขนาดไหน และสถาปนิกไม่จำเป็นต้องทำงานในบริษัทออกแบบเพียงอย่างเดียว จบสถาปัตยฯมาแล้วยังทำอะไรได้อีกมากมาย ซึ่งส่วนตัวข้าพเจ้าคิดว่า ล้วนแต่น่าสนใจทั้งสิ้น ข้าพเจ้าอยากเป็นอย่างนั้นบ้าง ข้าพเจ้าอยากทำอย่างนั้นบ้าง และจากทัศนคติของข้าพเจ้าที่มีต่ออาชีพในสถาปนิก ณ ตอนนี้ (ถ้าไม่ผลิกโผ) ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันว่า ถ้าข้าพเจ้าโชคดี และมุ่งเรียนให้ดีจนสำเร็จการศึกษาในปีหน้า ข้าพเจ้าก็จะประกอบอาชีพสถาปนิกอย่างแน่นอน